บุหรี่ไฟฟ้า : ยาเสพติดแปลงร่างชนิดใหม่

1429347935478.jpgบุหรี่ไฟฟ้าเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่สำหรับผู้สูบบุหรี่ ที่มีการลักลอบนำเข้ามาจำหน่ายอย่างผิดกฎหมายในประเทศไทย โดยเฉพาะการจำหน่ายผ่านทางอินเตอร์เน็ตอย่างเปิดเผยและมีจำนวนมากนอกจากนี้ ยังพบมีการออกบูทจำหน่ายในหลายสถานที่ เช่น งานแสดงสินค้าต่างๆ ข้อมูลส่วนใหญ่เกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้าที่เสนอโดยผู้ลับลอบจำหน่ายเป็นข้อมูลเพื่อประโยชน์ทางการรค้าที่พบผ่านทางอินเตอร์เน็ตและหน้าหนังสือพิมพ์ต่างๆ มักจะโฆษณาว่า เป็นวัตกรรมใหม่ที่ช่วยเลิกบุหรี่ และอ้างสรรพคุณว่ามีนิโคตินปริมาณน้อย ผู้เขียนจึงได้พยายามค้นหว้าในเชิงให้ความรู้แก่สาธารณะ เพื่อให้รู้ถึงภัยอันตรายจากสินค้าแปลงร่างจากบุหรี่ตัวใหม่นี้

กระทรวงสาธารณสุขชี้อันตรายและผิดกฎหมายถึง 3 ฉบับ

    ด้วยความเป็นห่วงผู้บริโภค กระทรวงสาธารณสุขของไทย นางพรรณสิริ กุลนาถศิริ รัฐมนตรีช่วยกระทรวงสาธารณสุข ได้ออกมาเตือนภัยผู้บริโภคว่า บุหรี่ไฟฟ้าเป็นสินค้าเลียนแบบ ที่ผู้จำหน่ายโฆษณาว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่ช่วยเลิกสูบบหุหรี่ หากสูบบุหรี่ไฟฟ้า 1 มวน จะเท่ากับสูบบุหรี่ทั่วไปถึง 15 มวน หากนำไปใช้จะเป็นอันตรายต่อหัวใจและหลอดเลือดได้ เนื่องจากบุหรี่ไฟฟ้าดังกล่าว ยังไม่มีผลการวิจัยรับรองว่าช่วยเลิกบุหรี่ได้จริง นอกจากนี้ กระทรวงสาธารณสุขของไทยได้ประกาศ มาตรการห้ามนำบุหรี่ไฟฟ้าเข้ามาจำหน่ายในประเทศโดยใช้กฎหมาย 3 ฉบับ

     1. พระราชบัญญัติควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ พ.ศ. 2535 มาตรา 10 เรื่องห้ามผลิตนำเข้า เพื่อขายหรือเพื่อจ่ายแจกเป็นการทั่วไป หรือโฆษณาสินค้าอื่นใด ที่มีรูปลักษณะที่ทำให้เข้าใจได้ว่าเป็นสิ่งเลียนแบบผลิตภัณฑ์ยาสูบ ประเภทบุหรี่ชิการ์แรตหรือบุหรี่ชิการ์ มีโทษปรับไม่เกิน 20,000 บาท

     2. พระราชบัญญัติยา พ.ศ. 2510 มาตรา 12 ห้ามมิให้ผู้ใดผลิต ขาย หรือนำ หรือสั่งเข้ามาในราชอาณาจักร ซึ่งยาแผนปัจจุบัน เว้นได้แต่ได้รับอนุญาติ ฝ่าฝืนมีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี และปรับไม่เกิน 10,000 บาท และมาตรา 72 ห้ามมิผู้ใดผลิตขาย หรือนำเข้า หรือสั่งนำเข้ายาที่มิได้ขึ้นทะเบียนตำรับยา มาในราชอาณาจัก ฝ่าฝืนมีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี และปรับไม่เกิน 20,000 บาท

     3. พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 27 ผู้ใดนำหรือพาของที่ยังมิได้เสียค่าภาษีหรือของต้องจำกัดหรือของต้องห้าม หรือที่ยังมิได้ผ่านศุลกากรโดยถูกต้องเข้ามาในราชอาณาจักรสยาม ความผิดครั้งหนึ่งจะมีโทษปรับเป็นเงิน 4 เท่าของราคาของ ซึ่งได้รวมค่าอากรเข้าด้วยแล้ว หรือจำคุกไม่เกิน 10 ปี หรือทั้งปรับทั้งจำ ซึ่งทางกระทรวงสาธารณสุขได้ทำหนังสือถึงกรมศุลกากร เพื่อให้ดำเนินการตรวจสอบบุหรี่ไฟฟ้า ตามชายแดนทั่วประเทศ

เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่เตือนผิดกฎหมายและเสี่ยงเสพติด

     ศ.นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจ เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่กล่าวว่า ขณะนี้การขายบุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทย ยังไม่มีการขออนุญาตจากหน่วยงานใดๆ โดยหากจะขายเป็นยาช่วยเลิกบุหรี่ ก็ต้องขออนุญาตกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา และหากได้รับการอนุญาตก็จะต้องได้รับการควบคุมอย่างเข้มงวดเช่นเดียวกับผลิตภัณฑ์ยา แต่หากจะขออนุญาตขายเป็นผลิตภัณฑ์ทดแทนบุหรี่ ก็ต้องขออนุญาตกรมสรรพสามิต และกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ซึ่งก็มีนโยบาย

     ไม่อนุญาต ให้มีการจำหน่ายผลิตภัณฑ์แปลกใหม่ใดๆ ที่มีนิโคตินผสมอยู่ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วคือการขายยาเสพติดนั้นเอง การขายบุหรี่ไฟฟ้าทั้งหลายแหล่ จึงเป็นการทำผิดกฎหมายทั้งสิ้น

     เรามีสถิติของคนไทยที่ติดบุหรี่ว่ามีเพียง 3 คนใน 10 คนเท่านั้นที่เลิกสูบได้สำเร็จ และในผู้ที่เลิกสูบได้สำเร็จนั้นต้องตกเป็นทาสของการสูบบุหรี่โดยเฉลี่ยถึง 20 กว่าปี ที่เหลือติดบุหรี่ไปจนตาย

     เรายังไม่มีข้อมูลว่าคนที่ติดนิโคตินในบุหรี่ไฟฟ้า จะติดนานเท่าไร และเลิกยากเท่ากับการติดบุหรี่ทั่วไปหรือไม่ แต่ปริมาณนิโคตินในบุหรี่ไฟฟ้าที่มีมากกว่าบุหรี่ทั่วไปทำให้เราน่าจะสรุปได้ว่า อย่างน้อยที่สุดอำนาจการเสพติดของบุหรี่ไฟฟ้าก็ไม่น่าจะแตกต่างจากการเสพติดบุหรี่หรือยาสูบทั่วไป

     การใช้บุหรี่ไฟฟ้า จึงเป็นเพียงการเปลี่ยนวิธีการที่จะนำสิ่งเสพติด “นิโคติน” เข้าสู่ร่างกายโดยเปลี่ยนจากการสูบบุหรี่เผามาเป็นนิโคตินไอระเหยจากความร้อนของไฟฟ้าเท่านั้น

ทำไมจึงห้ามขายบุหรี่ไฟฟ้าในหลายประเทศ

     ศ. จอห์น บานซ์ฮาฟ จากองค์กรรณรงค์ไม่สูบบุหรี่ นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ได้รวบรวมข้อคิดเห็นจากนักกฎหมายในนิวยอร์ก โดยได้รวบรวมประเด็นต่างๆ เพื่อให้ความถูกต้องเป็นธรรมกับผู้บริโภคบุหรี่ไฟฟ้า ไม่ให้ได้รับข่าวสารที่บิดเบือนจากฝ่ายผู้ได้ประโยชน์ทางการค้า ซึ่งทำให้สภาของรัฐนิวยอร์ก โหวตให้การห้ามจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้า ชนะขาด 125-0 สำหรับประเทศที่ห้ามจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าเลยนั้น ขณะนี้มี 6 ประเทศ ได้แก่ ออสเตเลีย บราซิล แคนาดา อิสราเอล แม็กชิโก และนิวซีแลนด์ ส่วนประเทศที่ให้เป็นสินค้าควบคุม ได้แก่ ฟินแลนด์ มาเลเซีย สิงคโปร์ และอังกฤษ อยู่ในระหว่างดำเนินการให้เป็นผลิตภัณฑ์ควบคุมเช่นเดียวกับยา นี้คือเหตุผลส่วนหนึ่งที่นำเสนอต่อสภาของรัฐต่างๆ เพื่อให้มีการออกกฎหมายห้ามขายบุหรี่ไฟฟ้า

     - ข้อมูลของ FDA (กระทรวงอาหารและยาสหรัฐอเมริกา) ระบุว่า เน้นที่การประเมินความปลอดภัยและประสิทธิภาพของบุหรี่ไฟฟ้า ในรายงานใช้คำว่า “Acute health risks” และมีข้อความว่า “ the danger posed by their toxic chemicals…cannot seriously be questioned” ที่แสดงให้เห็นว่าบุหรี่ไฟฟ้าจะทำให้เกิดโรคร้ายแรงกับผู้บริโภคได้ “including racing pluse, dizziness, slurred speech, mouth ulcers, heartburn, coughing, diarrhea, and sore throat” จึงควรกำหนดให้เป็นสิ่งผิดกฎหมาย

     - กลุ่มองค์กรรณรงค์ไม่สูบบุหรี่ในสหรัฐอเมริกา ได้แก่ The American Cancer Society, American Heart Association, American Lung Association, Campaign for Tobacco-Free Kids, American for Nonsmoker ’ Rights และ Association for the Treatment of Tobacco Use and Dependence จึงได้ผนึกกำลังกัน เรียกร้องให้เกิดการควบคุมการขายบุหรี่ไฟฟ้า เพื่อคุ้มครองผู้บริโภคโดยเฉพาะกลุ่มองค์กรรณรงค์ไม่สูบบุหรี่ แสดงข้อมูลคัดค้านว่า บุหรี่ไฟฟ้า บุหรี่ ซิการ์ และไปป์ เป็นสินค้าที่ทำให้เยาวชนเสพติดนิโคติน และยังไม่มีการพิสูจน์ว่าปลอดภัยจริง

     - แม้ว่าจะมีการอ้างสรรพคุณว่าบุหรี่ไฟฟ้าช่วยเลิกบุหรี่ได้ จากเอกสารของ FDA ระบุไว้ว่าขณะนี้ยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ใดพิสูจน์ได้ว่า บุหรี่ไฟฟ้า ซิการ์ และไปป์ เป็นนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ยาสูบที่มีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพในการช่วยสูบเลิกบุหรี่ เป็นเพียงความเข้าใจของผู้ใช้บางกลุ่มเท่านั้น

     - เอกสารของ FDA ยังระบุด้วยว่า ผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าสูดเอาไอน้ำและสาร Propylene glycol เป็นสารการแข็งตัวในอุตสาหกรรม ที่ทำให้เกิดการติดเชื้อระบบทางเดินหายใจ และจะได้รับนิโคตินซึ่งส่งผลให้เป็นโรคหัวใจล้มเหลว นอกจากนี้ยังมีสารก่อมะเร็งและสารพิษอื่นๆ ที่ส่งผลต่อคนใกล้ชิดได้ด้วย ดังนั้น องค์กรรณรงค์ในอเมริกาจึงห้ามสูบบุหรี่ชนิดนี้ในสถานที่ห้ามสูบบุหรี่ตามกฎหมาย เพื่อคุ้มครองสุขภาพประชาชน

ข้อสังเกตที่น่าเป็นห่วงในการใช้บุหรี่ไฟฟ้า

     เว็ปไซต์ ScienceDaily.com ซึ่งนำเสนองานวิจัยของนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียที่รับทุนจาก Tobacco-Related Disease Research Program (TRDRP) เพียว ทอลบอต ผู้อำนวยการของ UC Riverside’s Stem Cell Center กล่าวว่า นักวิจัยได้ศึกษาบุหรี่ไฟฟ้า 5 ยี่ห้อ ผลการวิจัยระบุว่า ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าบุหรี่ไฟฟ้ามีความปลอดภัย และยังมีแนวโน้มความเสี่ยงที่จะเกิดอันตรายต่อสุขภาพของผู้บริโภค และงานวิจัยนี้ได้รัการตีพิมพ์ในวารสารควบคุมยาสูบ “Tobacco Control”

พบข้อสังเกตต่อผลิตภัณฑ์บุหรี่ไฟฟ้า ดังนี้

     - ส่วนประกอบต่างๆ ของบุหรี่ไฟฟ้า ได้แก่ Batteries, atomizers, cartridges, cartridge wrappers ในแพ็กเก็ตหรือหีบห่อ รวมถึงคู่มือการใช้งาน ไม่ได้ระบุถึงข้อควรระวังและเตือนถึงอันตรายที่เกิดขึ่นจากสินค้าตัวนี้

     - ใน Cartridges ซึ่งเป็นที่เก็บนิโคติน ซึ่งเป็นสารเสพติดและสารเคมีที่เป็นอันตราย สามารถรั่วออกมาทางรอยต่อของบุหรี่ ทำให้ผู้ที่อยู่ใกล้ชิดรับอันตรายจากบุหรี่มือสอง

     - ในบุหรี่ไฟฟ้าไม่มีการกำจัดสารพิษที่เหมาะสม เช่น Cartridges ที่บรรจุนิโคตินผสมอยู่กับน้ำ เมื่อใช้แล้วก็ย่อมมีการปนเปื้อนของนิโคติน เมื่อนำไปทิ้งก็จะเป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อม

     - ผู้บริโภคพึงระลึกว่า กระบวนการผลิต การควบคุมคุณษภาพการขาย การโฆษณา ผลิตภัณฑ์บุหรี่ไฟฟ้า ไม่ได้รับการควบคุมดูแลจากหน่วยงานอาหารและยาของรัฐบาล

     การ์เมส อโซตา ผู้บริหารองค์กรวิจัยที่เกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้าล้วนเกิดขึ้นเนื่องจากต้องการปกป้องสุขภาพของผู้บริโภค ทั้งผู้ที่เคยทดลองใช้แล้วหรือยังไม่เคยทดลองใช้ ข้อมูลที่ผู้ผลิตและนักการตลาดอ้างว่าปลอดภัย แท้ที่จริงแล้ว ในกระบวนการที่ทำให้เกิดไอน้ำของบุหรี่ไฟฟ้า ยังเป็นกระบวนการที่น่าสังสัยถึงความปลอดภัย และทำให้เกิดความเสี่ยงต่อผู้บริโภคมากกว่า เนื่องจากเป็นกระบวนการที่ทำให้เกิดความร้อนใน Cartridges ที่บรรจุนิโคตินซึ่งเป็นสารพิษ 

     เรียบเรียงข้อมูลโดย ชูรุณี พิชญกุลมงคล เจ้าหน้าที่โครงการศูนย์ข้อมูลเพื่อการไม่สูบบุหรี่ และโครงการเครื่อข่ายเฝ้าระวังและรู้ทันธุรกิจบุหรี่ มูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่
www.ashthailand.or.th , www.tobaccowatch.in.th

หมวดหมู่บทความ
เรื่องล่าสุด
 
 
ศูนย์บริการเลิกบุหรี่ทางโทรศัพท์แห่งชาติ
อาคารสมาคมพยาบาลแห่งประเทศไทยในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ชั้น 6-7 เลขที่ 21/12 ถนนรางน้ำ แขวงถนนพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร 10400
โทรศัพท์ : 02-298-0144 โทรสาร : 02-298-0143
อีเมล : quitline1600@thailandquitline.or.th, quitline1600@hotmail.com web site: www.thailandquitline.or.th